สีจริงๆยังไม่หมดจริงครับ เพราะว่า เซ็นเซอร์ที่เป็นเลเซอร์แสงนั้นจะยิงทะลุผ่าน ช่องใสของตลับหมึก เพื่อตรวจสอบว่าหมึกเหลือหรือไม่ ซึ่งปกติแล้วหมึกที่เครื่องขึ้นว่าหมด  ก็เหลืออยู่ครับแต่ปริมาณไม่เพียงพอต่อการบังแสงให้หมดได้ ชิปจึงถูกตัดให้กลายเป็นสถานะ หมึกหมดครับ

  ปล.หากเป็นตลับที่ติดมากับเครื่องซึ่งยังไม่ได้ซื้อใหม่ ก็จะหมดเร็วประมาณนี้ครับ แต่หากเป็นตลับใหม่นั้น มี 2 สาเหตุ

1. ชิปเสีย

2. จำนวนการปริ้นที่คุณบอกว่า 200 แผ่นนั้น  ตามการนับของเครื่องพิมพ์ กระดาษ A4    1 แผ่น ลองนึกดูว่าให้ถือเป็น 100 %  นะครับ  และ การพิมพ์ 5 % ของเนื้อที่ จะถือเป็น 1 แผ่นนะครับ  ดังนั้น 200 แผ่นที่พิมพ์นั้น อาจะถูกนับไปมากกว่านั้นแล้วครับ

โดยปกติแล้ว การนับจำนวนแผ่นต่อการพิมพ์งานของเครื่องจะนับที่การใช้หมึกที่ 5% ต่อ 1 หน้ากระดาษ Letter นั่นหมายถึงว่า เครื่องจะนับโดยคำนวณจากปริมาณการใช้หมึก นะครับ ไม่ใช่นับจากจำนวนหน้ากระดาษที่พิมพ์  ตัวอย่างเช่น

ถ้าเราสั่งพิมพ์รายงาน 1 หน้า ที่มีแต่ตัวหนังสือ นั่นแหละครับคือ 5%โดยประมาณ   และถ้ามีรูปภาพแทรกเข้ามา เปอร์เซ็นต์การใช้หมึกก็จะมากขึ้น ตามขนาดและความเข้มของภาพ ซึ่งอาจจะเพิ่มเป็น 10% หรือ 20% หรือ 30% , 40% , 50% ก็ได้นะครับ

แต่ถ้าเราสั่งพิมพ์ให้สีดำเต็มแผ่นกระดาษ Letter ก็คือการพิมพ์โดยใช้หมึกที่ 100% เครื่องจะนับว่า เราพิมพ์งานไปแค่ 1 แผ่นก็จริง  แต่การใช้หมึกนั้นเครื่องจะนับว่า เราใช้งานไปถึง 20แผ่นเลยทีเดียว ( ตามผมทันมั๊ยครับ มาจาก 100% หารด้วย 5% = 20 นั่นเอง )

สมมุตินะครับว่า หมึก 1 ตลับ สามารถพิมพ์ได้ 1000 แผ่น (ตามคำโฆษณา) ก็หมายถึงว่า ถ้าเราพิมพ์งานโดยใช้หมึกที่ 5% ต่อ 1 หน้า เราก็จะสามารถใช้งานได้ถึง 1000 แผ่นตามที่โฆษณาไว้ได้จริง   แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราพิมพ์รูปภาพ เครื่องก็จะใช้หมึกมากขึ้น ซึ่ง อายุการใช้งานของตลับหมึกก็จะลดลงตามปริมาณการใช้หมึกไปโดยปริยาย และยิ่งถ้าเราสั่งพิมพ์ดำเต็มหน้า หรือพิมพ์ที่ 100% เมื่อไหร่ล่ะก็ หมึก 1 ตลับ แทนที่เราจะใช้ได้ 1000แผ่น ก็จะลดลงมาเหลือเพียง 200 แผ่น เท่านั้นเองครับผม